เอดินสัน คาวานี่ หัวหอกจอมเก๋าประสบการณ์สูง อีกหนึ่งอาวุธลับของทัพ ปีศาจแดง

เอดินสัน คาวานี่ วันนี้จะพามาทำความรู้จัก นักฟุตบอลชาวอุรุกวัย เล่นในตำแหน่งกองหน้าตัวเป้า

เอดินสัน คาวานี่ หรือ เอดินซอน โรเบร์โต กาบานิ โกเมซ เกิด 14 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1987 เป็นนักฟุตบอลชาวอุรุกวัย ปัจจุบันลงเล่นในตำแหน่ง กองหน้าตัวเป้า ให้กับบาเลนเซีย สโมสรในลาลิกา และทีมชาติอุรุกวัย เขามีฉายาว่า เอล มาตาดอร์ (นักสู้วัวกระทิง)

เขาได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางว่า เป็นหนึ่งในกองหน้าตัวเป้าที่ดีที่สุด ในยุคของเขา เป็นที่รู้จักจากการเคลื่อนไหว อย่างชาญฉลาดเมื่อไม่ได้ครองบอล การทำประตู และความสามารถในการโหม่ง โดยเขามีเชื้อสายอิตาลี คุณพ่อและคุณแม่ของเขาทั้งคู่ ต่างก็มีเชื้อสายอิตาลี กาบานิสามารถสื่อสารได้สามภาษา

ได้แก่ ภาษาอิตาลี ภาษาอังกฤษ และภาษาสเปน เขาชอบรับประทานพิซซา ตั้งแต่เด็กกาบานิเริ่มเล่นฟุตบอล ตั้งแต่ในวัย 12 ปี โดยติดทีมชาติของฟุตบอลทีมชาติอุรุกวัย ในรุ่นอายุ 20 ปี ตั้งแต่ปี ค.ศ. 2006 และติดทีมชาติชุดใหญ่ครั้งแรก ในปี ค.ศ. 2008 ดูบอลออนไลน์

เอดินสัน คาวานี่

มาดูถึงเส้นทางลูกหนังของ เอดินสัน คาวานี่ ว่ามีความเป็นมาอย่างไรบ้าง ไปดูพร้อมๆกันเลย

คาวานี่ เติบโตมาจากทีมเยาวชนของ ดานูบิโอ สโมสรในบ้านเกิด ก่อนจะโชว์ฝีเท้าได้อย่างโดดเด่น ในศึกฟุตบอล ยู-20 ชิงแชมป์อเมริกาใต้ ปี 2007 ซึ่ง คาวานี่ พาอุรุกวัยจบอันดับ 3 ของทัวร์นาเมนต์ พร้อมกับครองตำแหน่งดาวซัลโว ด้วยผลงานกดไปถึง 7 ประตู

ทำให้เขาตกเป็นเป้าหมาย ที่หลายสโมสรดังในยุโรป จ้องกระชากตัวไปร่วมทีมสุดท้ายเป็น ปาแลร์โม่ ทีมดังในศึกกัลโช เซเรียอา ที่ได้ลายเซ็นคาวานี่ไปครอง ด้วยค่าตัวราว 4.5 ล้านยูโน เมือเดือนม.ค. 2007 ซึ่งในช่วงแรก เจ้าหนูคาวานี่ ในวัยเพิ่ง 20 ปี ต้องอาศัยเวลาปรับตัวสักระยะ และยังไม่ได้ระเบิดฟอร์มเปรี้ยงปร้าง เท่าใดนัก กระทั่งฤดูกาล 2008-2009 คาวานี่ เริ่มฉายแววยอดศูนย์หน้า

ก่อนจะประสานงานร่วมกับ ฟาบริซิโอ มิคโคลี่ และยิงไปถึง 14 ประตูในซีซั่นดังกล่าว พร้อมกับได้รับฉายาว่า “เอล มาทาดอร์” จากสไตล์การจบสกอร์ที่เฉียบขาด และสัญชาตญาตในการพังประตู ที่ยอดเยี่ยมโดย คาวานี่ เผยว่าเขามี กาเบรียล บาติสตูต้า ตำนานหัวหอกทีมชาติอาร์เจนตินา เป็นไอดอลในการไล่ล่าตาข่าย

ฤดูกาลต่อมา คาวานี่ ยังรักษามาตรฐานฝีเท้าเอาไว้ได้เช่นเดิม หลังจากซัดไป 13 ประตู ซึ่งถือว่าไม่ธรรมดา เมื่อเทียบกับการอยู่ในสโมสรอย่าง ปาแลร์โม ก่อนที่ นาโปลี จะจัดการยืมตัว คาวานี่ ไปร่วมทีม ด้วยค่ายืม 5 ล้านยูโร พร้อมกับมีออปชั่นซื้อขาด 12 ล้านยูโร และเมื่อได้ย้ายมาอยู่กับทีม ที่มีศักยภาพสูงขึ้น คาวานี่ ก็ระเบิดฟอร์มสุดโหด ด้วยการซัดไปถึง 26 ประตูในศึกเซเรียอา 2010-2011

ทำให้ นาโปลี ใช้ออปชั่นซื้อ คาวานี่ เข้าส่ทีมแบบถาวรทันที จากนั้นปีต่อมา คาวานี่ กดไปอีก 23 ลูก จนมาพีกสุดในซีซั่น 2012-2013 ซึ่งดาวยิงทีมชาติอุรุกวัย ตะบันไปทั้งสิ้น 29 ประตู ครองตำแหน่งดาวซัลโวเซเรียอา ได้อย่างสุดยอด

จากนั้นปีต่อมา คาวานี่ได้เปลี่ยนสีเสื้ออีกครั้ง โดยย้ายไปล่าตาข่ายให้กับ ปารีส แซงต์ แชร์กแมง ในฤดูกาล 2013-2014 ด้วยค่าตัวสูงถึง 64 ล้านยูโร ซึ่งเป็นสถิตินักเตะค่าตัวแพงที่สุด ในประวัติศาสตร์ลีกเมืองน้ำหอมในขณะนั้น ภายใต้ยูนิฟอร์มเปแอสเช คาวานี่ยังคงผลิตสกอร์ได้เป็นกอบเป็นกำ และประสบความสำเร็จอย่างมาก โดยคว้าแชมป์ลีกเอิงได้ถึง 6 สมัย พร้อมกับครองดาวซัลโว 2 ปีซ้อน 

หลังจากกดไป 35 ลูกในฤดูกาล 2016-2017 และยิงอีก 28 ประตู ในฤดูกาล 2017-2018 คาวานี่ ค้าแข้งกับเปแอสเชเป็นเวลาทั้งสิ้น 7 ฤดูกาล พร้อมกับทำผลงานยิงไป 200 ประตูจากการลงสนาม 301 นัดในทุกรายการ

ก่อนที่เจ้าตัวจะหมดสัญญากับ ยักษ์ใหญ่แห่งลีกเอิง และย้ายมาร่วมทัพ “ปีศาจแดง” แมนฯ ยูไนเต็ด ในฤดูกาล 2020-2021 แต่ คาวานี่ ในวัย 33 ปี ก็ถูกตั้งคำถามว่าจะเอาตัวรอดได้ดีแค่ไหน ในสังเวียนแข้งอันหฤโหดอย่าง พรีเมียร์ลีก เอดินสัน คาวานี่

ผลงานของเอดินสัน คาวานี่ กับสโมสรปาแลร์โม

หลังจากประสบความสำเร็จ ในการแข่งขันระดับชิงแชมป์เยาวชน อเมริกาใต้ในปี 2007 มีรายงานว่ามีสโมสรใหญ่หลายทีม สนใจที่จะเซ็นสัญญากับกาบานิ รวมทั้งยูเวนตุสและเอซี มิลาน โดยต่อมา เมื่อวันที่ 29 มกราคม 2007 เมาริซิโอ ซัมปารินี ประธานสโมสรปาแลร์โม

ได้ประกาศการเซ็นสัญญากับ กองหน้าชาวอุรุกวัยผ่านสื่อ เป็นครั้งแรกและดำเนินการ อย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 31 มกราคม ด้วยราคา 4.475 ล้านยูโร กาบานิเปิดตัวเมื่อวันที่ 11 มีนาคม 2007 ในเกมลีกนัดที่ ปาแลร์โม เปิดบ้านพบกับฟิออเรนตินา โดยลงมาในฐานะตัวสำรอง ในนาทีที่ 55

ซึ่งทีมของเขาเป็นฝ่ายตามหลังอยู่ 0-1 ซึ่งกาบานิใช้เวลาเพียง 15 นาที ในการทำประตูตีเสมอให้กับทีม โดยแฟนๆต่างยกย่องว่าประตูดังกล่าว คล้ายคลึงกับการทำประตูของ มาร์โก ฟัน บัสเติน ตำนานศูนย์หน้าทีมชาติฮอลแลนด์ ที่ทำได้ในรอบชิงชนะเลิศการแข่งขัน ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรปปี 1988

อย่างไรก็ตามในฤดูกาลถัดมา กาบานิ ประสบปัญหาในการแย่งตำแหน่งตัวจริง กับ ฟาบริซิโอ มิคโคลี และ อเมารี สองกองหน้าที่ย้ายเข้ามาร่วมทีม ต่อมา อเมารี ได้ย้ายไปร่วมทีมยูเวนตุส ในเดือนมิถุนายนปี 2008 ทำให้กาบานิได้กลับมาเป็นตัวหลัก ของทีมอีกครั้ง

โดยประสานงานร่วมกับ มิคโคลี ได้อย่างลงตัว และเขาทำประตูได้ทั้งสิ้น 14 ประตู ในฤดูกาล 2008–09 กาบานิ ได้รับฉายาว่า “El Matador” เนื่องจากความเยือกเย็นในการทำประตู เขายังคงรักษาตำแหน่งตัวจริง ของเขาได้ในฤดูกาล 2009–10

ภายใต้การทำทีมของผู้จัดการทีมคนใหม่ วอลเตอร์ เซงกา โดยปาแลร์โมทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยม ด้วยการมีลุ้นการทำอันดับไปเล่นฟุตบอลยุโรป ได้ในช่วงท้ายฤดูกาล ในเดือนมีนาคม 2010 กาบานิขยายสัญญากับทีมออกไป จนถึงเดือนมิถุนายน 2014 อาเลสซันโดร เดล ปีเอโร

กับผลงานในนามทีมชาติอุรุกวัย 

คาวานี่ ลงสนามให้กับทีมชาติอุรุกวัย ชุดใหญ่นัดแรก ในปี 2008 ด้วยวัย 21 ปี และหลังจากนั้น ก็เป็นกำลังสำคัญของทีม “จอมโหด” มาตลอดในทุกๆทัวร์นาเมนต์สำคัญ คาวานี่ ผ่านเกมฟุตบอลโลกรอบสุดท้าย กับทีมชาติอุรุกวัยมาแล้วถึง 3 สมัย

เริ่มตั้งแต่ ฟุตบอลโลก 2010 ซึ่ง อุรุกวัย จบอันดับ 4 จากนั้นฟุตบอลโลก 2014 เข้าถึงรอบ 16 ทีม และฟุตบอลโลก 2018 เข้าถึงรอบ 8 ทีมสุดท้าย ขณะเดียวกัน คาวานี่ ยังเป็น 1 ใน 3 แข้งโควต้าอายุเกินร่วมกับ หลุยส์ ซัวเรซ และ เอกิดิโอ ริออส ลุยศึกฟุตบอลโอลิมปิก “ลอนดอน เกมส์ 2012” อีกด้วย

แต่ อุรุกวัย จอดป้ายที่รอบแบ่งกลุ่มเท่านั้น ส่วนอีกหนึ่งรายการสำคัญอย่าง ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติอเมริกาใต้ “โคปา อเมริกา” คาวานี่ เคยได้สัมผัสแชมป์มาแล้วหนึ่งสมัย ในปี 2011 ซึ่งอุรุกวัยชุดนั้นเต็มไปด้วย แข้งดาวดังโดยนอกจากคาวานี่แล้ว ยังมีทั้ง เฟอร์นานโด มุสเลร่า, มาร์ติน กาเซเรส, ดิเอโก้ โกดิน, หลุยส์ ซัวเรซ และดิเอโก้ ฟอร์ลัน 

ตาราง-12-05-64-v