4ตำนานฟุตบอลโลก เรื่องราวของเหล่าตำนาน ที่ยิ่งใหญ่ในวงการฟุตบอลโลก

4ตำนานฟุตบอลโลก วันนี้จะพามาูถึงเรื่องราวของ บรรดานักเตะระดับตำนาน ที่ยากจะลืมได้ลงในฟุตบอลโลก

4ตำนานฟุตบอลโลก ในโลกของฟุตบอล ไม่ว่าจะผ่านมานานแค่ไหนถ้าหากมี นักเตะตำนานในฟุตบอลโลกที่ยากจะลืม เหตุการณ์ที่สร้างความประทับใจ ให้คนที่หลงใหลในหการฟาดแข้ง มันก็ยากที่จะลืมได้ลง ไม่ว่าจะเป็นตัวบุคคล หรือเหตุการณ์ต่างๆที่ผ่านมา

เพราะสิ่งเหล่านั้นถือเป็น หน้าประวัติศาสต์ของวงการลูกหนังโลก ที่จะเป็นสิ่งเล่าขานบอกต่อกันรุ่นสู่รุ่น แบบไม่รู้จบเลยทีเดียว โดยวันนี้จะพามาดูถึง ตำนานในฟุตบอลโลก บุคคลสำคัญในวงการฟุตบอลระดับโลก ที่ไม่ว่าคนรุ่นเก่ารุ่นใหม่ ถ้าดูอีกครั้งมั่นใจว่า

วันวานที่เราได้ดูลีลาของ นักเตะระดับโลก ทุกโมเมนต์ของความดีใจ หรือความประทับใจในอดีต จะกลับมาจนปลุกไฟในตัว ให้มีความสุขกับการเชียร์ฟุตบอล อีกครั้งอย่างแน่นอน หนังออนไลน์

4ตำนานฟุตบอลโลก

มาดูถึงประวัติของ 4ตำนานฟุตบอลโลก เอดซง อารังชิส ดู นาซีเม็งตู หรือ เปเล่ ว่ามีความเป็นมาอย่างไร? ไปดูพร้อมๆกันเลย

เปเล่เกิดที่เมืองเตรสโกราซอยส์ ในรัฐมีนัชเจไรช์ นักเตะตำนานในฟุตบอลโลกที่ยากจะลืม ชื่อของเขาถูกตั้งตาม ทอมัส เอดิสัน นักประดิษฐ์ชาวอเมริกัน โดยฌูเวา รามุส ดู นาซีเม็งตู หรือที่เพื่อนๆร่วมอาชีพเรียกว่า “ดงดีญู” พ่อและผู้ฝึกสอนคนแรกของเขา

ที่มีอาชีพเป็นนักฟุตบอลอาชีพทีม ฟลูมีเน็งซี (Fluminense Football Club) เป็นคนตั้งให้และชื่อเล่นว่า “จีกู” (Dico) พอเข้าชั้นประถมเพื่อนๆก็เรียก “เปเล่” ซึ่งไม่มีความหมายใดๆ ทั้งคนในครอบครัวก็ไม่รู้จัก แต่สุดท้ายใช้ชื่อนี้มาตลอด (ยกเว้นคนในครอบครัวที่ยังคงเรียก “จีกู”)

เขาเติบโตในย่านยากจน ในเมืองเบารู รัฐเซาเปาลู ต้องหาเงินด้วยการรับขัดรองเท้า ตำนานในฟุตบอลโลก แถวละแวกบ้านและสโมสรฟุตบอลประจำเมือง ไปจนถึงสถานีรถไฟโนรีเอสเต้ เมื่อวิ่งได้ก็เริ่มหัดเล่นฟุตบอล ตามท้องถนนหน้าบ้าน และสนามดินลูกรัง ใช้ถุงเท้าขนาดใหญ่ที่สุดของผู้ใหญ่

แล้วยัดด้วยผ้าหรือกระดาษหนังสือพิมพ์ ม้วนเป็นก้อนกลมจากนั้นมัดด้วย เชือกผูกรองเท้าให้แน่นใกล้เคียง ลูกบอลมากที่สุดบางทีก็ใช้ผลเกรปฟรูต บางครั้งก็เป็นลูกองุ่น หรือวัตถุใดๆก็ได้ที่กลมๆ แม้กระทั่งกระดุมจนอายุได้ 6 ขวบ พ่อเขาซื้อลูกบอลให้ลูกแรก

พออายุได้ 9 ขวบจึงได้รวมทีมฟุตบอลมีชื่อว่า “สโมสร 7 กันยา” อันเป็นวันเอกราชของบราซิล และในเวลาต่อมาต่อมา ก็ได้เปลี่ยนชื่อมาเป็น “อเมริควินฮา”แปลว่า “อเมริกาน้อย” พร้อมกับได้โค้ชคนที่สองชื่อ เซไลเต้ เมื่ออายุได้ 13 ปี วัลเดมาร์ จี บรีตู (Waldemar de Brito)

นักเตะชื่อดังของบราซิล และโค้ชผู้ฝึกสอนคนที่สามเห็นแวว จึงชวนไปอยู่ทีมฟุตบอลสมัครเล่น และคว้าแชมป์ประจำรัฐติดต่อกันถึง 3 ปี พออายุได้ 15 ปีจึงได้เข้าทีมเยาวชน Santos FC junior team ปีต่อมาก็ได้เป็นนักบอลอาชีพในทีม Santos Futebol Clube

ซึ่งเกมแรกก็ทำประตูชัยได้ 4 ประตู และได้เป็นดาวยิงสูงสุดของลีก พออายุได้ 17 ปี ตำนานในฟุตบอลโลก ถูกเรียกตัวติดทีมชาติบราซิล เพื่อลงแข่งฟุตบอลโลกในปี 1958 ที่ประเทศสวีเดน และถือเป็นนักฟุตบอลอายุน้อยที่สุด ที่ยิงประตูในนัดชิงชนะเลิศได้ ด้วยฟอร์มอันน่าประทับใจ 

4ตำนานฟุตบอลโลก

ดิเอโก มาราโดนา4ตำนานฟุตบอลโลก เป็นนักฟุตบอลชาวอาร์เจนตินา

มาราโดนา ตำนานในฟุตบอลโลก เกิดในปี ค.ศ. 1960 ที่เมืองลานุส ประเทศอาร์เจนตินา ตอนอายุ 8 ปี เขาเริ่มเล่นฟุตบอลให้กับสโมสรท้องถิ่น Estrella Roja ก่อนจะถูกเรียก ให้มาติดสโมสรเยาวชนของ Argentinos Juniors ซึ่งมาราโดนาเริ่มเล่น ในระดับอาชีพด้วยวัย 15 ปี

และกลายเป็นผู้เล่นอายุน้อยที่สุด ในประวัติศาสตร์ของลีกฟุตบอล ปริเมราดิบิซิออน ต่อมาเขาย้ายไปร่วมสโมสร โบกายูนิออร์ส ในปี ค.ศ. 1982 มาราโดนาย้ายไปอยู่สโมสรฟุตบอลบาร์เซโลนา ในสเปนด้วยค่าตัว 7.6 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งถือว่าสูงที่สุดในขณะนั้น

แต่ด้วยอาการบาดเจ็บ และปัญหาหลายอย่างทำให้ มาราโดนาย้ายไปอยู่สโมสรนาโปลีในอิตาลี นักเตะตำนานในฟุตบอลโลกที่ยากจะลืม ที่ซึ่งเขาได้รับตำแหน่งกัปตันทีม และพาสโมสรสร้างสถิติใหม่หลายอย่าง หลังจากนั้นมาราโดนาย้ายไปอยู่ สโมสรฟุตบอลเซบิยา นีเวลส์โอลด์บอยส์

และกลับมาอยู่สโมสรโบกายูนิออร์ส ก่อนจะเลิกเล่นในปี ค.ศ. 1997 ในด้านทีมชาติ มาราโดนาติดทีมชาติในปี ค.ศ. 1977 และนำทีมอาร์เจนตินาชนะฟุตบอลโลก 1986 ที่ประเทศเม็กซิโก ซึ่งในฟุตบอลโลกครั้งนี้ มาราโดนาได้ทำ “ประตูหัตถ์พระเจ้า” ที่เป็นที่ถกเถียงระหว่างแข่งกับทีมชาติอังกฤษ

มาราโดนาเล่นทีมชาติ เป็นครั้งสุดท้ายในฟุตบอลโลก 1994 หลังเลิกเล่นฟุตบอลอาชีพ นักเตะตำนานในฟุตบอลโลกที่ยากจะลืม มาราโดนาทำหน้าที่เป็นผู้จัดการสโมสรฟุตบอล หลายสโมสรโดยสโมสรสุดท้ายคือ ยิมนาเซียเดลาปลาตา มาราโดนาเสียชีวิตจากภาวะหัวใจหยุดเต้น ที่บ้านในเมืองติเกร ประเทศอาร์เจนตินา ในปี ค.ศ. 2020 สโมสรฟุตบอลบาเลนเซีย

ฟรันทซ์ เบ็คเคินเบาเออร์ ฉายาว่า Der Kaiser (“จักรพรรดิ”)

ฟรันทซ์ อันโทน เบ็คเคินเบาเออร์  นักเตะตำนานในฟุตบอลโลกที่ยากจะลืม เกิดเมื่อวันที่ 11 กันยายน ค.ศ. 1945 ที่มิวนิก เป็นผู้ฝึกสอน ผู้จัดการทีม และอดีตนักฟุตบอลชาวเยอรมัน มีฉายาว่า Der Kaiser (“จักรพรรดิ”) อันเนื่องจากการเล่นที่งดงาม ความเป็นผู้นำ

และชื่อของเขา “ฟรันทซ์” (มาจากชื่อจักรพรรดิออสเตรีย) และความโดดเด่นในการเล่นฟุตบอลของเขา เขาได้รับการยอมรับว่าเป็นนักฟุตบอลเยอรมัน ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดตลอดกาล และเป็นหนึ่งในนักฟุตบอลที่ได้รับ การยกย่องในประวัติศาสตร์ฟุตบอล

เบ็คเคินเบาเออร์เ ป็นนักฟุตบอลที่เล่นได้หลายตำแหน่ง โดยเริ่มจากการเป็นกองกลาง แต่เลื่องชื่อด้านการเป็นกองหลัง เขายังมักได้รับยกย่องว่าเป็น ผู้คิดตำแหน่งสวีปเปอร์ หรือ ลีเบโร สมัยใหม่ เขาได้รับเลือกเป็นผู้เล่นยุโรปแห่งปี 2 ครั้ง

เขาลงแข่งให้กับฟุตบอล ทีมชาติเยอรมนีตะวันตก 103 นัด ในฟุตบอลโลก 3 ครั้ง เขายังเป็นผู้เล่นคนเดียว ที่เป็นกัปตันทีมและผู้จัดการทีม ให้กับประเทศที่ชนะฟุตบอลโลก เขาได้ถ้วยฟุตบอลโลก ในฐานะกัปตันทีมในปี 1974 และได้อีกครั้งในฐานะ ผู้จัดการทีมชาติในฟุตบอลโลก 1990

และกับสโมสรฟุตบอล ไบเอิร์นมิวนิก เขาได้ถ้วยยุโรป 3 ครั้งติดต่อกัน ตั้งแต่ปี 1974 ถึง 1976 และคัปวินเนอร์สคัปในปี ค.ศ. 1967 เบ็คเคินเบาเออร์ ตำนานในฟุตบอลโลก เป็นผู้เล่นคนเดียวที่เป็นกัปตันทีม ที่ชนะในถ้วยยุโรป 3 ครั้ง เขาเปลี่ยนมาเป็นผู้ฝึกสอน และประธานของสถาบัน และยังมีรายชื่ออยู่ใน หอเกียรติยศฟุตบอลแห่งชาติ

4ตำนานฟุตบอลโลกบ็อบบี มัวร์ กัปตันทีมชาติอังกฤษ ในชุดชนะเลิศฟุตบอลโลก 1966

รอเบิร์ต เฟรเดอริก เชลซี “บ็อบบี” มัวร์ โอบีอี ตำนานในฟุตบอลโลก เป็นอดีตนักฟุตบอลชาวอังกฤษ ผู้ทำหน้าที่กัปตันทีม เวสต์แฮมยูไนเต็ด มากกว่า 10 ปีและเป็นกัปตันทีมชาติอังกฤษ ในชุดชนะเลิศฟุตบอลโลก 1966 เขาได้รับการยกย่องว่า เป็นหนึ่งในกองหลังที่ดีที่สุดตลอดกาล

และถูกกล่าวถึงโดย เปเล่ ว่าเป็นกองหลังที่ดีที่สุด ตั้งแต่ที่ตนเองได้เล่นมา มัวร์ลงเล่นให้กับทีมชาติอังกฤษ เป็นจำนวน 108 นัดในช่วงเวลา ที่เขาเลิกเล่นให้กับทีมชาติ ในปี ค.ศ. 1973 ถูกบันทึกเป็นสถิติ ซึ่งสถิตินี้ถูกทำลายในเวลาต่อมาโดย ปีเตอร์ ชิลตัน ผู้รักษาประตู เป็นจำนวน 125 นัด

ซึ่งสถิติ 108 นัดยังคงดำเนินต่อเนื่องใน ฐานะนักเตะนอกกรอบ นักเตะตำนานในฟุตบอลโลกที่ยากจะลืม จนถึงวันที่ 28 มีนาคม ค.ศ. 2009 เมื่อเดวิด เบคแคม ลงเล่นในนัดที่ 109 มัวร์ ได้รับการสถาปนาเข้าสู่ หอเกียรติยศฟุตบอลอังกฤษ ประจำปี ค.ศ. 2002 ในปีเดียวกัน เขาได้ถูกเสนอชื่อในรายชื่อ ของชาวบริติชผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดหนึ่งร้อยลำดับ

ตาราง-12-05-64-v