โรแบร์โต บัจโจ อดีตนักฟุตบอลชื่อดัง ชาวอิตาเลี่ยน หนึ่งในกองหน้าที่ดีที่สุดยุค 90

โรแบร์โต บัจโจ วันนี้จะพามาทำความรูจักกับ นักฟุตบอลชื่อดังชาวอิตาเลี่ยน เจ้าของตำนาน บุรุษเปียทองคำ อันป็นเอกลักษณ์

โรแบร์โต บัจโจ (อิตาลี: Roberto Baggio) เกิดเมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2510 (ค.ศ. 1967) ที่เมืองกัลดอญโญ ประเทศอิตาลี บัจโจ มีชื่อเสียงมาจากการเป็นกองหน้าตัวหลักของทีมชาติอิตาลี ในฟุตบอลโลก 1994 ที่สหรัฐอเมริกา

ซึ่งครั้งนั้น อิตาลี ได้ทะลุมาถึงรอบชิงชนะเลิศกับ บราซิล บัจโจ ในฐานะกองหน้าจึงเป็นความหวัง ของชาวอิตาลีและแฟนๆทั่วโลก ว่าจะเป็นผู้นำพาอิตาลีคว้าแชมป์ฟุตบอลโลก เป็นครั้งที่ 4 ได้ แต่การแข่งขัน 120 นาที เสมอกัน 0:0

จึงต้องตัดสินกันที่ลูกจุดโทษ ซึ่งบัจโจที่มีข่าวออกมาก่อนหน้านี้ว่า บาดเจ็บ เป็นผู้ยิงประตูสุดท้ายด้วย ปรากฏว่าเขายิงพลาดเหินข้ามคานไป ส่งผลให้บราซิลได้แชมป์ฟุตบอลโลก เป็นสมัยที่ 4 ไปทันที ดูบอล

โรแบร์โต บัจโจ

 

มาดูถึงประวัติของ โรแบร์โต บัจโจ ว่ามีความเป็นมาอย่างไร มาดูกัน 

โรแบร์โต บัจโจ เริ่มเล่นฟุตบอลครั้งแรกในปี พ.ศ 2525 (ค.ศ. 1982) กับสโมสรวีเซนซา บ้านเกิดจนถึงปี พ.ศ. 2528 (ค.ศ. 1985) จึงย้ายไปอยู่ที่ ฟีออเนรตีนา จากนั้นในปี พ.ศ. 2533 (ค.ศ. 1990) จึงย้ายไปอยู่ที่ ยูเวนตุส สโมสรชั้นนำของอิตาลี และของยุโรป 

จนได้รับรางวัล นักฟุตบอลยอดเยี่ยมแห่งปีของทวีปยุโรป หรือบาลงดอร์ (Ballon d’Or) ในปี พ.ศ. 2536 (ค.ศ. 1993) ก่อนที่จะเป็นกองหน้า ในทีมชาตินำทีมเข้าสู่การแข่งขันฟุตบอลโลก 1994 ที่สหรัฐอเมริกา และพาทีมเป็นรองแชมป์โลก

จากนั้น บัจโจ จึงได้ย้ายไปอยู่ที่ เอซีมิลาน ในปี พ.ศ. 2538 (ค.ศ. 1995) ไปอยู่กับโบโลญญาในปี พ.ศ. 2540 (ค.ศ. 1997) ย้ายไปอยู่กับ อินเตอร์มิลาน ในปี พ.ศ. 2541 (ค.ศ. 1998) และเบรชชา ในปี พ.ศ. 2543 (ค.ศ. 2000)

ก่อนที่จะแขวนรองเท้าไปในปี พ.ศ. 2547 (ค.ศ. 2004) โรแบร์โต บัจโจ เป็นนักฟุตบอลรูปร่างเล็ก โดยสูงเพียง 174 เซนติเมตรเท่านั้น เป็นนักฟุตบอลที่มีชื่อเสียงโด่งดังคนหนึ่งทีเดียว ในสมัยที่ยังเล่นฟุตบอลอยู่ มีเอกลักษณ์ประจำตัว คือผมเปียที่ท้ายทอย 

เป็นนักฟุตบอลที่หน้าตาดี จึงได้ฉายาจากแฟนฟุตบอลชาวไทยว่า เทพบุตรเปียทองคำ ชีวิตส่วนตัวนับถือศาสนาพุทธ เคยมีข่าวในทำนองที่ว่าเดินทางมา ประเทศไทย เพื่อให้หลวงพ่อคูณ ฝังตะกรุดมาแล้วด้วย

แต่ในความเป็นจริงแล้ว บัจโจนับถือพุทธศาสนาแบบมหายาน โดยอยู่ในสมาคมโซคา งัคไก สากล (Soka Gakkai International) ซึ่งไม่ได้นับถือเครื่องรางของขลังดังกล่าว แรกๆที่เริ่มมีชื่อเสียงถูกเรียกชื่อ เป็นภาษาไทยว่า โรเบอร์โต้ บักจิโอ้ หรือ โรเบอร์โต้ บักโจ้

โรแบร์โต บัจโจกำลังหลักใน ทีมชาติอิตาลี

บัจโจ เป็นกำลังหลักให้ทีมชาติอิตาลี ระหว่างลุยเวิลด์คัพ ปี 1994 จะเรียกว่าเป็นฮีโร่ก็ไม่ผิดนัก พาทีมผ่านเข้าชิงชนะเลิศสำเร็จ ยิง5ประตูในทัวร์นาเมนต์รอบสุดท้าย สองประตูจากรอบ 16 ทีม ชนะไนจีเรีย ประตูชัยท้ายเกมในรอบควอเตอร์ไฟนัล หักเขา “กระทิงดุ” สเปน

สองประตู ชนะบัลแกเรีย ในรอบตัดเลือกทว่าความผิดพลาดครั้งเดียวของ “โรบี้” แทบทำให้ตัวเองกลายเป็นปิศาจไปเลย ในนัดชิงชนะเลิศกับ บราซิล บุรุษเปียทองคำพลาดจุดโทษลูกสุดท้าย (ขณะที่ บราซิลยังเหลือตัวยิง) ส่งผลให้บราซิล คว้าแชมป์โลกหลังเสมอกันในเวลา 0-0

แม้ว่าก่อนหน้าที่ โรบี้ จะพลาดสองนักเตะอิตาเลียน จะพลาดมาก่อนแล้วทั้ง ฟรังโก้ บาเรซี่ และแดเนีล มาสซาโร่ แต่ความผิดพลาดของเพื่อนร่วมทีมสองคน เหมือนไม่มีใครมองเห็น สปอตไลต์ มาตกที่ โรบี้ คนเดียว

เนื่องจากถ้า โรบี้ ยิงเข้า บราซิล ก็ยังคงต้องเสี่ยงยิงต่อเพื่อจะได้แชมป์โลก โรบี้ ถูกเรียกกลับไปติดทีมชาติอีกครั้ง ในการลุยฟุตบอลโลกปี 1998 ที่ฝรั่งเศส แทนที่ของกองหน้า ที่ฟอร์มกำลังฮอตคราวนั้นอย่าง จิอันฟรังโก้ โซล่า

จากการเรียกของโค้ช เชซาเร่ มัลดินี่ ซึ่งเหมือนว่าเป็นการขัดใจแฟนๆเล็กน้อยด้วย โดยเขาจัดการยิงสองประตูในทัวร์นาเมนต์ คือจุดโทษเกมกับ ชิลี ซึ่งเป็นจุดโทษที่ทำให้แฟนๆมะกะโลนี ยกโทษให้โรบี้ จากความผิดพลาดเมื่อปี 1994

นอกจากนี้ยังเป็นคนยิงประตูชัยในเกมเจอ ออสเตรีย ส่งอิตาลีเป็นแชมป์กลุ่ม จุดโทษอีกลูกที่โรบี้ จัดการได้คือแมตช์ที่ อิตาลี เจอเจ้าภาพและแชมป์ในปีนั้น ฝรั้งเศส ซึ่งผลการแข่งขันออกมาเป็นทีมแพ้ ตกรอบหลังจบทัวร์นาเมนต์

อิตาลี โดนวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวาง ในด้านสไตล์การเล่นที่เน้นอุด และน่าเบื่อสำหรับแฟนๆ จนได้รับการขนานนามว่าเป็นต้นตำหรับของ “Boring Football” การลงเล่นฟุตบอลโลก 3 สมัย โรบี้ ยิงไป 9 ประตู เท่ากับ คริสเตียน วิเอรี่ และ เปาโล รอสซี่

ในฐานะนักเตะอิตาเลียน ที่ยิงประตูสูงสุดในฟุตบอลโลก รอบสุดท้าย แมตช์สุดท้ายของ โรบี้ จริงๆเลยคือการลงเตะแมตช์การกุศล ให้กับโครงการช่วยเหลือเหยื่อผู้เคราห์ร้าย จากคลื่นยักษ์ สึนามิ Football for Hope ที่ คัมป์ นู เมื่อวันที่ 15 กันยายน 2005

ในเส้นทางของนักฟุตบอลอาชีพ 

บัจโจ้ เริ่มต้นอาชีพค้าแข้งกับ วิเชนซ่า ซึ่งขณะนั้นเป็นทีมในเซเรีย ซี1 เมื่อปี 1981 ถัดมาปี 1985 เมื่อฟอร์มเริ่มเข้าที่เข้าทาง และมีวี่แววว่าจะก้าวขึ้นมาโด่งดังได้แน่ทีมระดับใหญ่ขึ้นอย่าง ฟิออเรนตินา ก็มาฉกตัวไปร่วมทีม ซึ่งชีวิต “โรบี้” ที่ฟิเรนเซ่ นับว่าประสบความสำเร็จ

และเป็นที่รักต่อแฟนๆและเพื่อนร่วมทีม และในปี 1990 แฟนๆฟิเนเซ่ ก็ต้องหลั่งน้ำตาจนแทบเป็นสายเลือด เมื่อบุรุษของทีมถูกขายให้ยักษ์ใหญ์ แห่งเมืองตูริน อย่าง ยูเวนตุส ด้วยราอันเป็นสถิติโลกในขณะนั้น 19 ล้านปอนด์

หลังจากได้รับตำแหน่งนักเตะยอดเยี่ยมแห่งปี ซึ่งปีนั้นเป็นปีแรกที่ โรบี้ ได้สัมผัสบรรายากาศฟุตบอลโลก และฉายแววความสามารถที่ไม่ธรรมดา ให้หลายคนอยากติดตามมากขึ้น ถัดมาปี 1993 โรบี้ ได้แชมป์ระดับยุโรปเป็นครั้งแรก

หลังพา “ม้าลาย” คว้าแชมป์ ยูฟ่า คัพ บัจโจ้ คว้าสคูเด็ตโด้แรกกับ ยูเวนตุส ในปี 1995 และหลังจากนั้นก็ถูกขายให้กับ “ปิศาจแดงดำ” เอซี มิลาน สโมสรซึ่งเป็นที่มาของแชมป์ กัลโซ่ เซเรีย อาใบที่สองของ โรบี้

ซึ่งที่มิลาน โรบี้ นับว่าอยู่ได้เพราะฝีเท้าล้วนๆ เนื่องจากประธารสโมสรขณะนั้นอย่าง ซิลวิโอ แบร์ลุสโคนี่ ที่บอกว่าไม่เคยชื่นชอบเลย กับแฟชั่นหางเปียของ โรบี้ แต่ตราบใดที่เจ้าตัว ยังยิงประตูได้แบบนี้ก็ไม่เป็นไร ฟิลิปโป อินซากี

โรแบร์โต บัจโจกับผลงานในปี 1977 

ในปี 1977 เมื่อเจ้าตัวเริ่มคิดว่าตัวเอง เริ่มเข้าสู่ช่วงดาวน์ของชีวิตค้าแข้ง ก็ย้ายไปอยู่กับ โบโลญญ่า และเหมือนเป็นการชุบชีวิตใหม่อีกครั้ง เมื่อยิงไปคนเดียว 22 ประตู เป็นสถิติของตัวเองในปีนั้น ก่อนได้รับเรียกกลับไปติดทีมชาติอีกครั้ง

ในการลุยฟุตบอลโลกปี 1998 ที่ฝรั่งเศส แทนที่ของกองหน้าที่ฟอร์มกำลังฮอต คราวนั้นอย่าง จิอันฟรังโก้ โซล่า จากการเรียกของโค้ช เชซาเร่ มัลดินี่ ซึ่งเหมือนว่าเป็นการขัดใจแฟนๆ เล็กน้อยด้วยหลังจบเวิลด์ คัพ 1998 ก็เข้าสู่บั้นปลายชีวิตของ บัจโจ้ เต็มตัว

แต่ก็ยังได้เซ็นสัญญา กับทีมยักษ์ใหญ่อย่าง อินเตอร์ มิลาน แต่นับเป็นการย้ายทีมที่โชคร้ายที่สุด ในชีวิตหลังจากโค้ช มาเซลโล่ ลิปปี้ ไม่ค่อยชอบที่จะใช้งาน โรบี้ นักเรียกได้ว่าแทบจะไม่ได้ ลงสนามเลย

แต่ก็ช่วยไม่ได้เมื่อตอนนั้น “โล้นทองคำ”โรนัลโด้ นักเตะบราซิลเลียน กำลังฮอตขึ้นหม้อส่งผลให้ โรแบร์โต้ เสียตำแหน่งตัวจริงเป็นการถาวร เช่นเดียวกับทีมชาติอิตาลี หลังจากทนอยู่กับ “งูใหญ่”ได้สองปี ก็ได้ย้ายไปอยู่กับ เบรสชา ทีมที่ไม่โด่งดังอะไรมากนัก

ก่อนประกาศรีไทร์ในปี 2004 ยุติสถิติยิง 205 ประตูใน เซเรีย อา สูงสุดเป็นอันดับ 5 ของสถิติตลอดกาล ติดทีมชาติ 56 นัด ยิง 27 ประตู สูงสุดเป็นอันดับ 4 ของสถิติ ตลอดกาล

ตาราง-12-05-64-v