แฟรงก์ แลมพาร์ด อีกหนึ่งตำนานกองกลางของ เชลซี และทีมชาติอังกฤษ ผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นมิดฟิลด์จอมถล่มประตู

แฟรงก์ แลมพาร์ด วันนี้พามาทำความรู้จัก อีกหนึ่งนักฟุตบอลชาวอังกฤษ กองกลางระดับตำนาน

แฟรงก์ แลมพาร์ด แฟรงก์ เจมส์ แลมพาร์ด (อังกฤษ: Frank James Lampard; เกิดวันที่ 20 มิถุนายน ค.ศ. 1978) เป็นผู้จัดการทีม อดีตนักฟุตบอลและนักเขียนหนังสือเด็กชาวอังกฤษ ปัจจุบันเป็นผู้จัดการทีมของ สโมสรฟุตบอลเอฟเวอร์ตัน ในพรีเมียร์ลีก

แฟรงค์ แลมพาร์ด นักฟุตบอลชาวอังกฤษค้าแข้งกับ เชลซี ทีมดังในลีกสูงสุดเมืองผู้ดี มีชื่อเต็มว่า “แฟร้งค์ เจมส์ แลมพาร์ด จูเนียร์” แฟรงค์ แลมพาร์ด เป็นอีกหนึ่งตำนานกองกลางของเชลซี และทีมชาติอังกฤษ ผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นมิดฟิลด์จอมถล่มประตู

จนกองหน้าถึงกับอาย โดยประวัติของเขาถือว่าเป็นนักเตะอีกคน ที่น่าสนใจเป็นอย่างยิ่งจัดเป็นนักเตะน้ำดี ไร้ข่าวฉาว พัฒนาการก้าวกระโดด รวมทั้งเป็นแข้งที่แฟนบอลรักสุดๆ แม้จะไม่ใช่แฟนคลับของสโมสร ที่เจ้าตัวลงเล่นให้อยู่ก็ตาม มังงะ

แฟรงก์ แลมพาร์ด

มาดูถึงประวัติของ แฟรงก์ แลมพาร์ด นักเตะตำนานชองสโมสรฟุตบอลเชลซี และทีมชาติอังกฤษ ว่ามีความเป็นมาอย่างไร มาดูกันเลย

แฟรงก์ แลมพาร์ด มีชื่อเต็มว่า แฟรงก์ เจมส์ แลมพาร์ด เกิดวันที่ 20 มิถุนายน ค.ศ. 1978 ที่กรุงลอนดอน ในตระกูลนักฟุตบอล โดยพ่อของเขาคือ แฟรงก์ แลมพาร์ด (ซีเนียร์) เป็นอดีตกองหลังทีมชาติอังกฤษ ลุงของเขาคือ แฮร์รี เรดแนปป์

และเป็นลูกพี่ลูกน้องกับ เจมี เรดแนปป์ เป็นอดีตนักเตะของเซาแทมป์ตัน เช่นเดียวกัน การศึกษาจบจาก มหาวิทยาลัยลอนดอน เขาเป็นหนึ่งในอดีตนักเตะเยาวชนของ เวสต์แฮมยูไนเต็ด และเคยถูกยืมตัวไปเล่นกับ สวอนซีซิตี ใน ค.ศ. 1995

และย้ายมาร่วมสโมสร เชลซี ใน ค.ศ. 2001 ติดทีมชาติอังกฤษครั้งแรกเมื่อ ค.ศ. 1999 แลมพาร์ด เป็นกองกลางที่ทำประตูได้ 200 ประตู ซึ่งมากที่สุดในประวัติศาสตร์ของสโมสร และเป็นกองกลางคนที่สองต่อจาก แมธทิว ทริสเซอร์ ที่ทำประตูมากว่า 100 ประตูในพรีเมียร์ลีก

นอกจากนี้ แลมพาร์ดยังทำสถิติเป็นผู้เล่นคนเดียว ที่ทำประตูใน พรีเมียร์ลีก มากกว่า 10 ประตูติดต่อกันถึง 9 ฤดูกาลอีกด้วย แลมพาร์ด เริ่มต้นอาชีพฟุตบอลกับสโมสร เวสต์แฮมยูไนเต็ด โดยลงเล่นกับทีมเยาวชนตั้งแต่ ปี 1993

และสร้างผลงานได้ดีพอสมควร โดยเขายังเป็นลูกชายของ แฟรงก์ แลมพาร์ด (ซีเนียร์) ผู้ช่วยคนสำคัญของ แฮร์รี เรดแนปป์ กุนซือของเวสต์แฮมในขณะนั้น ซึ่งเป็นลุงของเขา เริ่มต้นอาชีพนักฟุตบอลกับ เวสต์แฮม ยูไนเต็ด อีกหนึ่งทีมในกรุงลอนดอน ด้วยการเป็นนักเตะเยาวชน เมื่อปี 1994 ด้วยวัยเพียง 16 ปีเท่านั้น

ก่อนจะใช้เวลาอยู่ในทีมชุดเยาวชน เพียงปีเดียวแล้วขึ้นชุดใหญ่ทันที ในปีถัดมาด้วยวัย 17 ปี ซึ่งกุนซือของ ขุนค้อน ที่เอาเขาขึ้นมาในเวลานั้นคือ แฮร์รี่ เร็ดแน็ปป์ อีกหนึ่งขงเบ้งของวงการลูกหนัง แดนผู้ดีนั่นเอง

โดยในปีนั้นทีมมีกองกลางเก่งๆอย่าง จอห์น มอนคูร์ , เอียน บิสช็อป และ ไมเคิล ฮิวจ์ส ขวางทางอยู่ ทำให้โอกาสของเขาแทบไม่มี ลงเล่นในลีกทั้งฤดูกาลเพียง 2 นัดเท่านั้น แต่ก็ถือว่าเจ้าตัวได้ประสบการณ์ ครั้งใหญ่จากการที่ขึ้นมาซ้อมกับรุ่นพี่ รวมทั้งชิมลางบรรยากาศในเกมลีก

ฤดูกาลถัดมาในปี 1996-1997 ก็ยังไม่ใช่ปีที่ดีนักของ แลมพาร์ด เมื่อเจ้าตัวไม่สามรถเบียดตัวจริงได้ตามเคย ลงเล่นไป 13 นัด ต้องสตาร์ทจากม้านั่งเป็นส่วนใหญ่ โดยที่แกนหลักของทีม ก็ยังอยู่กันครบ

จนปี 1997-1998 ในวัย 19 ปี แลมพ์ ได้มีโอกาสลงเล่นอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย ลงเล่นในลีกถึง 31 นัด รวมทุกรายการ 42 เกม ยิง 10 ประตู กลายเป็นเด็กนรกแตกที่น่าจับตามองทันที จากสื่อทุกฉบับและแฟนบอล กระทั่งรับใช้ เวสต์แฮม อยู่หลายปี

จนถึง 2001 เขาก็ตัดสินใจอำลาทีม เพื่อยกระดับตัวเองไปอยู่กับ เชลซี ในวัย 23 ปี ด้วยค่าตัวราว 11 ล้านปอนด์ ซึ่งในสมัยนั้นถือว่าสูงมาก สรุปแล้ว แลมพ์ รับใช้ ขุนค้อน 187 นัด ยิงไป 39 ประตู 

แฟรงก์ แลมพาร์ดกับการย้ายมาอยู่กับ สโมสรฟุตบอลเชลซี กับเสื้อหมายเลข 8

นับจากนี้คือการสร้างตำนานของเขา ชนิดที่เรียกว่า ใครก็หยุดไม่อยู่ โดย แลมพาร์ด ย้ายมาอยู่กับ เชลซี เลือกใส่หมายเลข 8 เขาเข้ามาแล้วสามารถยึดตัวจริงได้ตลอด ทุกฤดูกาลรวมทั้งสิ้น 13 ปีเต็ม แม้ทีมจะมีการเปลี่ยนเจ้าของมาเป็น โรมัน อับราโมวิช

รวมถึงเปลี่ยนโค้ชไปมากหน้าหลายตา แม้กระทั่งผู้เล่นท็อปสตาร์ที่พาเหรด เดินเข้าสู่ทีมทั้ง โคล้ด มาเกเลเล่ , มิชาเอล บัลลัค , ไมเคิล เอสเซียง , เดโก้ , รามิเรส หรือใครก็ตาม มันก็ไม่เคยทำให้ความสำคัญของ แลมพ์ กับ สิงห์บลูส์ลดลงไปแม้แต่นิดเดียว

ตลอดปี 2001-2014 รวม 13 ฤดูกาลเต็ม แลมพาร์ด ซัดให้เชลซีไปมากถึง 211 ประตู จาก 648 นัด รวมทุกรายการในเกมทางการ ยิงประตูชนิดที่เรียกว่ากองหน้ายังอาย เขามีทีเด็ดจากลูกยิงไกลจากแถวสอง จังหวะฟรีคิก , การโขกพังประตูแม้ไม่สูงมาก

และการยิงจุดโทษที่ชัวร์มาก นอกจากนี้ยังมีการเคลื่อนเกมที่ยอดเยี่ยม สายตาเฉียบคม ทำแอสซิสต์ให้เพื่อนร่วมทีมตลอด ซึ่งหากนั่งหาจุดอ่อนของเขา คงมีแค่จุดเดียว คือเขาไม่ใช่นักเตะพริ้วไหว หรือคล่องตัวอะไรมากมายนั่นเอง

สรุปแล้วเขาคว้าแชมป์ไปทั้งสิ้น 13 รายการรวมแบ่งเป็น พรีเมียร์ลีก 3 สมัย , ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก 1 สมัย , เอฟเอ คัพ 4 สมัย , ลีก คัพ 2 สมัย , ยูฟ่า คัพ 1 สมัย (ยูโรปาลีก ในปัจจุบัน) และ เอฟเอ คอมมูนิตี้ชิลด์ อีก 2 ครั้ง นับว่าเป็นอะไรที่มหาศาลมากจริงๆ นอกจากนี้ยังมีรางวัลส่วนตัวอีกนับไม่ถ้วน เรื่องสุดพังของนักเตะ

ในปี 2014 ประกาศอำลา สโมสรฟุตบอลเชลซี 

ปี 2014 แลมพาร์ด ประกาศอำลา เชลซี หลังอิ่มตัว โดยพร้อมจะหาความท้าทายใหม่ๆ ซึ่งทำให้แฟนสิงห์บลูส์บางคน ถึงกับร่ำไห้ที่ต้องเห็นฮีโร่ของพวกเขา จากทีมไปในวัย 36 ปี ก่อนจะเป็น แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ที่กำลังยิ่งใหญ่ในช่วงเวลาดังกล่าว

และช่วงเวลานี้ทำการดึงตัว เข้ามาร่วมทีมทันทีโดย แลมพ์ ลงเล่นกับ ซิตี้ 1 ปี ก่อนจะคว้ารองแชมป์พรีเมียร์ลีก แต่สิ่งที่แฟนบอลจำได้ขึ้นใจคือ การยิงประตูใส่ เชลซี อดีตต้นสังกัดของเขา ที่เพิ่งจะจากกันมา ในเกมลีก เมื่อวันที่ 21 ก.ย. 2014

ทั้งที่เพิ่งลงสนามมาเพียง 7 นาที ในฐานะตัวสำรอง ก่อนจะเป็นประตูตีเสมอที่จบลง 1-1 สรุปแล้วเขาลงเล่นไป 38 นัด รวมทุกรายการ ยิง 8 ประตู หลังจบฤดูกาล 2013-2014 แลมพาร์ด ตัดสินใจไปเล่นให้ นิวยอร์ค ซิตี้ แห่งเมเจอร์ลีก

ซึ่งเป็นทีมในกลุ่มซิตี้ กรุ๊ป เจ้าของเดียวกันกับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ โดยร่วมงานกับ อันเดรีย ปิร์โล่ และ ดาบิด บีย่า อีกสองตำนานจาก อิตาลี และสเปน ที่มาเล่นในบั้นปลายอาชีพเช่นกัน ก่อนที่ แลมพ์ จะใช้เวลาอยู่ที่นี่ราวปีครึ่ง ลงเล่น 31 นัด ยิง 15 ประตู แม้ไม่มีแชมป์ใดๆแต่เป็นเครื่องหมาย บ่งบอกได้ว่าอายุไม่สามารถทำอะไรผู้ชายคนนี้ได้จริงๆ ในศักยภาพการเล่นและยิงประตู ก่อนที่เขาจะประกาศแขวนสตั๊ด ในวัย 38 ปี ช่วงปี 2016

แฟรงก์ แลมพาร์ดกับทีมชาติอังกฤษ 

แลมพาร์ด ติดทีมชาติอังกฤษครั้งแรก ในชุดยู-21 ปี ภายใต้การคุมบังเหียนของ ปีเตอร์ เทย์เลอร์ โดยลงเล่นนัดแรกในวันที่ 13 พฤศจิกายน 1997 ในเกมที่พบกับ กรีซ นอกจากนี้เขายังเคยมีส่วนร่วม ในทัวร์นาเม้นต์ ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป ยู-21 ในปี 2000 อีกด้วย

หลังจากนั้น แลมพาร์ด ก็ก้าวขึ้นสู่ทีมชุดใหญ่ได้สำเร็จในเดือน ตุลาคม ปี 1999 โดยลงเล่นนัดแรกในเกมอุ่นเครื่องที่พบกับ เบลเยี่ยม ในฐานะตัวสำรอง อย่างไรก็ตาม เขาก็ยังไม่ถูกเลือกให้ติด ทีมชาติอังกฤษ ชุดลุยศึกฟุตบอลยูโร 2000 ที่ประเทศ เบลเยี่ยม และฮอลแลนด์ 

เช่นเดียวกับศึกฟุตบอลโลก ปี 2002 ที่ประเทศ เกาหลีใต้ และญี่ปุ่นเป็นเจ้าภาพ ทว่าในที่สุดกองกลางสุดหล่อ ที่ทำผลงานได้ดีอย่างสม่ำเสมอให้กับ เชลซี ก็ถูกเลือกให้ ติดทีมชาติอังกฤษ ชุดลุยศึกยูโร 2004 ที่ประเทศ โปรตุเกส

ซึ่งเขาก็สามารถแจ้งเกิดในเวทีระดับชาติ ทัวร์นาเม้นต์นี้ได้สำเร็จแม้ว่า อังกฤษ จะไปไม่ถึงดวงดาวร่วงตกรอบ 8 ทีมสุดท้าย ด้วยน้ำมือเจ้าภาพโปรตุเกส แต่แลมพาร์ด ก็ได้รับเลือกให้ติดทีมยอดเยี่ยม ของศึกยูโรครั้งนี้หลังยิงไป 3 ประตูจาก 4 นัด ดังไม่แพ้เวย์น รูนี่ย์ กองหน้าอัจฉริยะที่แจ้งเกิดได้พร้อมๆ กัน

ตาราง-12-05-64-v