ประวัติฟุตบอลโลก FIFA World Cup การแข่งขันฟุตบอลระหว่างประเทศ โดยมีทีมชาติเข้าแข่งในกลุ่มสมาชิกสหพันธ์ฟุตบอลระหว่างประเทศ

ประวัติฟุตบอลโลก ที่ไปที่มาของ FIFA World Cup หรือฟุตบอลโลก

ประวัติฟุตบอลโลก ฟุตบอลโลก หรือ FIFA World Cup เป็นการแข่งขันฟุตบอลระหว่างประเทศ โดยมีทีมชาติเข้าแข่งในกลุ่ม สมาชิกสหพันธ์ฟุตบอลระหว่างประเทศ (ฟีฟ่า) โดยการแข่งขัน จะถูกจัดขึ้นในทุกๆ 4 ปี เริ่มต้นครั้งแรกในปี ค.ศ. 1930 ยกเว้นในปี ค.ศ. 1942 และ 1946 ที่งดเว้นไปในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2

การแข่งขันฟุตบอลโลก ในยุคปัจจุบันประกอบด้วย 32 ทีม ซึ่งจะจัดขึ้นประมาณ 1 เดือนซึ่งการแข่งขันในรอบ 32 ทีมสุดท้าย นี้เรียกว่า “การแข่งขันฟุตบอลโลก รอบสุดท้าย” ส่วนในรอบคัดเลือกที่แข่งขันก่อนหน้านั้น ในปัจจุบันจะต้องใช้เวลาร่วม 3 ปีเพื่อเพื่อคัดเอา 31 ชาติ จาก 5 ทวีปเข้าไปแข่งขัน

โดยอีกหนึ่งทีมมาจากประเทศเจ้าภาพ ในการแข่งขันฟุตบอลโลกใน 19 ครั้งที่ผ่านมา มีชาติที่ชนะในการแข่งขัน 8 ชาติ ทีมชาติบราซิลคว้าแชมป์ได้ 5 สมัย และเป็นทีมเดียวที่เข้าร่วมการแข่งขันในทุกครั้งส่วนทีมชาติอื่นที่ที่ได้แชมป์โลกคือ ทีมชาติอิตาลี และ ทีมชาติเยอรมนี ได้ทั้งหมดประเทศละ 4 ครั้ง

ทีมชาติอาร์เจนตินา และทีมชาติอุรุกวัย ได้แชมป์ 2 ครั้ง และ ทีมชาติอังกฤษ ทีมชาติฝรั่งเศส และทีมชาติสเปน ได้แชมป์ประเทศละ 1 ครั้ง ฟุตบอลโลกเป็นฟุตบอลทัวร์นาเมนต์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของโลก และมีผู้ชมมากที่สุดในโลก โดยรอบชิงชนะเลิศฟุตบอลโลก 2014 มีผู้ชมราว 715.1 ล้านคน

ซึ่งถือว่ามากที่สุดในประวัติศาสตร์  สำหรับศึกฟุตบอลโลก ที่ประเทศรัสเซียเป็นเจ้าภาพ มีทีมที่ผ่านเข้าสู่รอบสุดท้ายครบ 32 ทีม โดยในเวลานี้ ได้มีการประกาศ รายชื่อนักเตะออกมาจนครบแล้วขณะที่ทีมดังอย่าง อิตาลี เนเธอร์แลนด์ และสหรัฐอเมริกา คือสามชาติยักใหญ่ ที่ไม่ผ่านรอบคัดเลือก หนังออนไลน์ล่าสุด

ประวัติฟุตบอลโลก

ประวัติฟุตบอลโลก ที่มาของการแข่งขันฟุตบอลนานาชาติยุคก่อน

นัดการแข่งขันฟุตบอลระหว่างประเทศ เกิดขึ้นครั้งแรกในการแข่งขันที่ กลาสโกว์ในปี ค.ศ. 1872 ระหว่างสก็อตแลนด์กับอังกฤษ และในการแข่งขันชิงชนะเลิศระหว่างประเทศครั้งแรก ที่ชื่อ บริติชโฮมแชมเปียนชิปซึ่งเกิดขึ้นในปี ค.ศ. 1884 กีฬาฟุตบอลเติบโตในส่วนอื่นของโลก นอกเหนือจากอังกฤษในช่วงเปลี่ยนศตวรรษ

มีการแนะนำกีฬาและแข่งขันประเภทนี้ ในการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกฤดูร้อน 1900และ1904 และที่กีฬาโอลิมปิกช้อน 1906 หลังจากที่สหพันธ์ฟุตบอลระหว่างประเทศ(ฟีฟ่า) ก่อตั้งขึ้นในปี ค.ศ. 1904 ได้มีการพยายามจัดการแข่งขันฟุตบอล ชิงชนะเลิศระหว่างประเทศ นอกเหนือจากประเทศที่เข้าแข่งขันในกีฬาโอลิมปิก ปี 1906

ที่สวิตเซอร์แลนด์ถือเป็นการแข่งขัน ฟุตบอลระหว่างประเทศในยุคแรกๆ แต่ประวัติศาสตร์อย่างเป็นทางการ ของฟีฟ่าอธิบายว่าการแข่งขันนั้นล้มเหลว ไปในการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกฤดูร้อน 1908 ในกรุงลอนดอนฟุตบอลถือเป็นหนึ่ง ในกีฬาที่แข่งขันอย่างเป็นทางการ จัดขึ้นโดยสมาคมฟุตบอล

อังกฤษได้ดูแลในการจัดการแข่งขัน โดยผู้แข่งขันเป็นมือสมัครเล่นเท่านั้น และดูเป็นการแสดงมากกว่าการแข่งขัน โดยบรเตนใหญ่ (แข่งขันโดยทีมฟุตบอลสมัครเล่นทีมชาติอังกฤษ) ได้รับเหรียญทองในการแข่งขัน ต่อมาในโอลิมปิกฤดูร้อน 1912 ที่สต็อกโฮล์มก็มีจัดขึ้นอีก โดยการแข่งขันจัดการโดยสมาคมฟุตบอลสวีเดน

ในการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกซึ่งแข่งขันฟุตบอล เฉพาะในทีมสมัครเล่น เซอร์โทมัส ลิปตัน ได้จัดการการแข่งขันที่ชื่อ การแข่งขันชิงถ้วยรางวัลเซอร์โทมัส ลิปตัน จัดขึ้นในตูรินในปี ค.ศ. 1909 เป็นการแข่งขันระหว่างสโมสร (ไม่ใช่ทีมชาติ) จากหลายๆประเทศบางทีมเป็นตัวแทน ของแต่ละประเทศ

การแข่งขันครั้งนี้บางครั้งอาจเรียกว่า การแข่งขันฟุตบอลโลกครั้งแรก มีทีมอาชีพเข้าแข่งขันจากทั้งในอิตาลี เยอรมนี และสวิตเซอร์แลนด์ แต่สมาคมฟุตบอลอังกฤษปฏิเสธ ที่จะร่วมในการแข่งขันและไม่ส่งทีมนักฟุตบอลอาชีพมาแข่ง ลิปตันเชิญสโมสรเวสต์อ็อกแลนด์ทาวน์ จากมณฑลเดอแรม เป็นตัวแทนของอังกฤษแทน

ซึ่งสโมสรเวสต์อ็อกแลนด์ทาวน์ ชนะการแข่งขันและกลับมารักษาแชมป์ในปี 1911 ได้สำเร็จในปี ค.ศ. 1914 ฟีฟ่าได้จำแนกการแข่งขันฟุตบอลในกีฬาโอลิมปิกว่าเป็น “การแข่งขันชิงแชมป์สำหรับมือสมัครเล่น” และลงรับผิดชอบในการจัดการการแข่ง และนี่เป็นการปูทางให้กับการแข่งขันฟุตบอลระหว่างทวีปเป็นครั้งแรก

โดยในโอลิมปิกฤดูร้อน 1920 ที่มีทีมแข่งขันอย่างอียิปต์และทีมจากยุโรปอีก 13 ทีม มีผู้ชนะคือทีมเบลเยี่ยม ต่อมาทีมอุรุกวัย ชนะในการแข่งขันฟุตบอลในโอลิมปิก ในอีก 2 ครั้งถัดไปคือในปีค.ศ 1924 และ1928  และในปี ค.ศ. 1924 ถือเป็นยุคที่ฟีฟ่าก้าวสู่ระดับมืออาชีพ จากความสำเร็จในการแข่งขันฟุตบอลในโอลิมปิก

ฟีฟ่าพร้อมด้วยประธานที่ชื่อ ชูล รีเม ได้ผลักดันอีกครั้งโดยเริ่มมองหา หนทางในการจัดการแข่งขันนอกเหนือ การแข่งขันโอลิมปิก ในวันที่ 28 พฤษภาคม ค.ศ. 1928 ที่ประชุมฟีฟ่าในอัมสเตอร์ดัม ตัดสินใจที่จะจัดการแข่งขันด้วยตัวเอง กับอุรุกวัยที่เป็นแชมเปียนโลกอย่างเป็นทางการ 2 ครั้ง

และเพื่อเฉลิมฉลอง 1 ศตวรรษแห่งอิสรภาพของอุรุกวัยในปี ค.ศ. 1930 ฟีฟ่าได้ประกาศว่าอุรุกวัยเป็นประเทศเจ้าภาพ ในการแข่งขันฟุตบอลโลกครั้งแรก สมาคมฟุตบอลของประเทศที่ได้รับการเลือก ได้รับการเชิญให้ส่งทีมมาร่วมแข่งขัน แต่เนื่องจากอุรุกวัยที่เป็นสถานที่จัดงาน

นั่นหมายถึงระยะทางและค่าใช้จ่าย ที่ต้องเดินทางข้ามมหาสมุทรแอตแลนติก มาจากฝั่งยุโรปมาซึ่งแท้จริงแล้ว ไม่มีประเทศไหนในยุโรปตอบตกลง ว่าจะส่งทีมมาร่วมจนกระทั่ง 2 เดือนก่อนการแข่งขัน ในที่สุดริเมตจึงสามารถเชิญทีมจากเบลเยี่ยม ฝรั่งเศล โรมาเนีย และยูโกสลาเวีย UFABET

มีทีมเข้าร่วมทั้งหมด 13 ทีม โดยมี 7 ทีมจากทวีปอเมริกาใต้ 4 ทีมจากยุโรปและ 2 ทีมจากอเมริกาเหนือ2 นัดแรกของการแข่งขันฟุตบอลโลกครั้งแรก จัดขึ้นในวันเดียวกันเมื่อวันที่ 13 กรกฎาคม ค.ศ. 1930 ผู้ชนะคือทีมฝรั่งเศส และทีมสหรัฐอเมริกา ชนะเม็กซิโก 4–1 และเบลเยี่ยม 3–0 ตามลำดับ โดยผู้ทำประตูแรกในฟุตบอลโลกมาจาก ลุกแซง โลร็องต์ จากฝรั่งเศส ในนัดตัดสินทีมชาติอุรุกวัย ชนะ ทีมชาติอาร์เจนตินา 4–2 ต่อหน้าผู้ชม 93,000 คนที่เมืองมอนเตวิเดโอ ทีมอุรุกวัยจึงเป็นชาติแรกที่ชนะการแข่งขันฟุตบอลโลก

ประวัติฟุตบอลโลก

หลังสงครามโลกครั้งที่สองประวัติฟุตบอลโลก

ฟุตบอลโลก 1950 จัดขึ้นที่ประเทศบลาซิล เป็นครั้งแรกที่สหราชอาณาจักรเข้าร่วมการแข่งขัน ทีมสหราชอาณาจักรถอนตัวจากฟีฟ่าในปี ค.ศ. 1920 ที่ไม่พอใจในบางส่วนที่ต้องเล่นกับประเทศที่พวกเขาทำสงครามด้วย และบางส่วนเพื่อประท้วงด้านอิทธิพล และการบังคับจากต่างชาติ แต่ก็กลับเข้ามาร่วมในปี ค.ศ. 1946

หลังจากได้รับคำเชื้อเชิญจากฟีฟ่า การแข่งขัน ทีมแชมเปียนอย่างอุรุกวัยก็กลับเข้ามาร่วม หลังจากที่คว่ำบาตรฟุตบอลโลกก่อนหน้านี้ 2 ครั้ง โดยทีมอุรุกวัยชนะในการแข่งขันอีกครั้ง หลังจากที่ชนะประเทศเจ้าภาพบราซิล นัดการแข่งขันนี้เรียกว่า “มารากานาซู” (โปรตุเกส Maracanaço)

ในการแข่งขันระหว่างปี ค.ศ. 1934 และ 1978 มีทีมเข้าร่วมแข่งขัน 16 ทีม ยกเว้นในปี ค.ศ. 1938 เมื่อออสเตรียรวมเข้ากับเยอรมนี หลังจากรอบคัดเลือก ทำให้มีทีมแข่งขันเหลือเพียง 15 ทีม และในปี ค.ศ. 1950 เมื่ออินเดีย สก็อตแลนด์ และตุรกี ถอนตัวจากการแข่งขัน ทำให้มีทีมร่วมแข่งขันเพียง 13 ทีม

ทีมที่เข้าร่วมแข่งขันส่วนใหญ่เป็นทีมจากยุโรป และอเมริกาใต้มีส่วนน้อยจากอเมริกาเหนือ แอฟริกา เอเชียและโอเชียเนีย ทีมเหล่านี้มักจะแพ้อย่างง่ายดายกับทีมจากยุโรป และอเมริกาใต้จนกระทั่งในปี ค.ศ. 1982 มีทีมนอกเหนือจากยุโรปและอเมริกาใต้ ที่เข้าสอบรอบสุดท้าย คือ ทีมสหรัฐอเมริกา  เข้ารอบรองชนะเลิศในปี ค.ศ. 1930 ทีมคิวบาเข้ารอบรองชนะเลิศใน ปี ค.ศ. 1938 ทีมเกาหลีเหนือ เข้าสู่รอบรองชนะเลิศในปี ค.ศ. 1966 และทีมเม็กซิโก เข้าสู่รอบรองชนะเลิศในปี ค.ศ. 1970

ประวัติฟุตบอลโลก

ถ้วยรางวัลของฟุตบอลโลกที่ต้องรู้จัก

ถ้วยฟุตบอลโลก เป็นแรงบันดาลใจให้นักเตะทีมต่างๆต่อสู้ เพื่อพิสูจน์ฝีมือและศักดิ์ศรีของประเทศ  ถ้วยนี้มีน้ำหนักถึง 4,970 กรัม ทำด้วยทองแท้ 18 กะรัต สูง  36 เซนติเมตร  เรียกว่า ถ้วยฟีฟ่าเวิลด์คัพ (FIFA World Cup Trophy) ออก แบบโดยประติมากรรมชาวอิตาเลียน ซิลวิโอ กาซซานิ ก้า ในปีค.ศ. 1971

โดยเส้นของรูปปั้นบิดขึ้นมาจากฐาน เป็นรูปนักกีฬาสองคนยืนหันหลังยกโลก ดูมีพลังคลื่อนไหวในตัวเพื่อเป็นจังหวะ แห่งการฉลองชัยชนะถ้วยเวิลด์คัพ ใบนี้เริ่มใช้ครั้งแรกในการแข่งขันปีค.ศ.1974 ที่ประเทศเยอรมนีเป็นเจ้าภาพ และเยอรมนีก็คว้าถ้วยใบนี้สำเร็จครอบครองไว้นาน 4 ปี 

แต่ถ้วยฟีฟ่าไม่ได้เป็นของใครคนใดคนหนึ่ง เพราะฟีฟ่าหรือสหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติ ถือว่าถ้วยนี้จะต้องอยู่ถาวรกับฟีฟ่า ผู้ชนะจะได้รับถ้วยจำลองที่ทำจากทองผสม ส่วนที่ฐานซึ่งมีแหวนคาดสองเส้น มีพื้นที่ไว้สลักชื่อผู้ชนะ 17 ช่อง ซึ่งเมื่อถึงปีค.ศ.2038 ชื่อก็จะเต็มช่องเหล่านี้ จากนั้นจะทำอย่างไรต่อไป ฟีฟ่าก็คงต้องปรึกษากัน 

ประวัติฟุตบอลโลก

รูปแบบการแข่งขัน ฟุตบอลโลก ทีน่าสนใจ ทำความเข้าใจแบบง่ายๆ

การแข่งขันฟุตบอลโลกมี 2 รูปแบบ คือ 1. รอบคัดเลือก ตั้งแต่การแข่งขันฟุตบอลโลกครั้งที่ 2 ในปี ค.ศ 1934 ก็เริ่มมีการจัดการแข่งขันคัดเลือก เพื่อจำกัดทีมในรอบสุดท้ายให้น้อยลง จัดในเขตการแข่งขันทั้ง 6 เขตของฟีฟ่า (แอฟริกา, เอเชีย, อเมริกาเหนือและกลางและแคริบเบียน, อเมริกาใต้, โอเชียเนีย, และยุโรป)

ตรวจสอบโดยสมาพันธ์ที่เกี่ยวข้อง ในการแข่งขันในแต่ละครั้ง ฟีฟ่าจะกำหนดล่วงหน้าเรื่องจำนวน ว่าจะมีกี่ทีมในแต่ละเขตที่จะได้เข้าสู่รอบสุดท้าย โดยทั่วไปจะขึ้นอยู่กับความแข็งแกร่งของทีมของสมาพันธ์ กระบวนการคัดเลือก จะเริ่มในเกือบ 3 ปีก่อนที่จะแข่งรอบสุดท้ายและจะสิ้นสุดในช่วง 2 ปีก่อนการแข่งขัน

รูปของการแข่งขันรอบคัดเลือกจะแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับสมาพันธ์ โดยปกติแล้ว ที่ 1 หรือ 2 อันดับแรกที่ชนะเพลย์ออฟ ระหว่างทวีป ตัวอย่างเช่น ผู้ชนะของเขตโอเชียเนีย และที่ 5 ของทีมในโซนเอเชีย จะแข่งรอบเพลย์ออฟในฟุตบอลโลก 2010 และจากฟุตบอลโลก 1938 เป็นต้นมา

ประเทศเจ้าภาพจะเข้าสู่รอบสุดท้ายโดยทันที และทีมแชมป์จะเข้ารอบสุดท้ายเพื่อป้องกันตำแหน่งในระหว่างปี 1938 และ 2002 แต่ในปี 2006 ได้งดไป ทีมบราซิลที่ชนะในการแข่งขันฟุตบอลโลก 2002 รูปแบบการแข่งขันฟุตบอล เป็นทีมแรกที่แข่งขันรอบคัดเลือกเพื่อป้องกันตำแหน่ง

2. รอบสุดท้าย การแข่งขันรอบสุดท้ายปัจจุบัน มีทีมเข้าแข่งขัน 32 ชาติ ที่จะแข่งขันนานร่วม 1 เดือน ในประเทศเจ้าภาพการแข่งขัน โดยแบ่งเป็น 2 รอบคือ รอบแรก (แบ่งกลุ่ม) และรอบแพ้คัดออก ในรอบแบ่งกลุ่ม จะแบ่งออกเป็น 8 กลุ่ม แต่ละกลุ่มมี 4 ทีม โดยมี 8 ทีม (รวมถึงประเทศเจ้าภาพด้วย)

ที่จะถูกเลือกออกมาจากอันดับโลกฟีฟ่า และหรือผลการแข่งขันฟุตบอลโลกครั้งที่ผ่านมา ทั้ง 8 ทีมจะถูกแยกออกไปในแต่ละกลุ่ม ส่วนทีมที่เหลือจะใส่ลงโถ โดยมากเป็นแบ่งจากเขตทางภูมิศาสตร์ แต่ละทีมในโถจะจับสลากกลุ่มที่อยู่ และตั้งแต่ในปี ค.ศ. 1998

มีข้อบังคับว่าในแต่ละกลุ่มจะไม่มีทีมจากยุโรปมากกว่า 2 ทีม และมากกว่า 1 ทีม จากสมาพันธ์ฟุตบอลของแต่ละทวีปอื่น แต่ละทีมในกลุ่มจะแข่งแบบพบกันหมด กล่าวคือแต่ละทีมจะแข่ง 3 นัด กับทีมอื่นในกลุ่มจนครบ ส่วนนัดสุดท้ายของการแข่งขันแบ่งกลุ่ม จะแข่งเวลาเดียวกัน เพื่อให้ความยุติธรรมกับทั้ง 4 ทีม

ทีมที่มีคะแนนสูงสุด 2 อันดับแรกในกลุ่มจะเข้าสู่รอบแพ้คัดออก โดยคะแนนมาจากการทำคะแนนในการแข่งขันรอบแบ่งกลุ่ม โดยตั้งแต่ปี ค.ศ. 1994 กำหนดให้ทีมผู้ชนะได้ 3 คะแนน ทีมที่เสมอได้ 1 คะแนน และทีมที่แพ้ไม่ได้คะแนน (ก่อนหน้านี้ ทีมที่ชนะได้ 2 คะแนน)

อันดับของแต่ละทีมในกลุ่ม พิจารณาจาก

1. จำนวนคะแนนในกลุ่ม

2. จำนวนความแตกต่างในการทำประตูในกลุ่ม

3. จำนวนการทำประตูในกลุ่ม

4. ถ้าหากยังอยู่ในระดับเท่ากัน จะพิจารณาเกณฑ์ ดังต่อไปนี้

    1.จำนวนคะแนนในนัดที่ทีมเหล่านั้นเจอกัน

    2.จำนวนความแตกต่างในนัดที่ทีมเหล่านั้นเจอกัน

    3.จำนวนประตูในนัดที่ทีมเหล่านั้นเจอกัน

5. หากทีมยังอยู่ในระดับเท่ากันอีก หลังจากพิจารณาเกณฑ์ด้านบน จะใช้อันดับโลกฟีฟ่าในการพิจารณา

รอบแพ้คัดออก แต่ละรอบจะแข่งกันเพียงครั้งเดียว โดยจะต่อเวลาพิเศษและยิงลูกโทษหากไม่สามารถทำประตูได้ โดยเริ่มที่รอบ 16 ทีมสุดท้าย (หรือรอบที่ 2) ผู้ชนะจะเข้าแข่งต่อในรอบ 8 ทีมสุดท้าย และนำไปสู่รอบรองชนะเลิศ นัดชิงอันดับที่สาม (แข่งจากผู้แพ้ในรอบรองชนะเลิศ) และนัดชิงชนะเลิศ

ตาราง-12-05-64-v