ประวัติฟุตบอลยูโร การแข่งขันฟุตบอล รายการสำคัญที่สุดของ ทีมชาติในทวีปยุโรป

ประวัติฟุตบอลยูโร European Football Championship มาทำความรู้จักกัน

ประวัติฟุตบอลยูโร ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป (อังกฤษ: European Football Championship) หรือที่นิยมเรียกทั่วไปว่า ฟุตบอลยูโร เป็นการแข่งขันฟุตบอลรายการสำคัญ ที่สุดของทีมชาติในทวีปยุโรปซึ่งจัดขึ้นทุก 4 ปี

โดยสหภาพสมาคมฟุตบอล (ยูฟ่า) และจะห่างจากการแข่งขันฟุตบอลของฟีฟ่า 2 ปี เริ่มแข่งขันมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2503 (ค.ศ. 1960) ในชื่อรายการว่า ยูโรเปียนเนชันส์คัพ (European Nations Cup) จากแนวคิดของอ็องรี เดอโลแน เลขาธิการสหพันธ์ฟุตบอลฝรั่งเศสขณะนั้น

ทั้งนี้การแข่งขัน 5 ครั้งแรก มีทีมชาติร่วมแข่งขัน รอบสุดท้ายเพียง 4 ประเทศต่อมาตั้งแต่การแข่งขันครั้งที่ 3 ประจำปีพ.ศ. 2511 (ค.ศ. 1968) เปลี่ยนชื่อการแข่งขันเป็น ยูโรเปียนฟุตบอลแชมเปียนชิพ ดังที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน และในครั้งที่ 6 เมื่อปี พ.ศ 2523 (ค.ศ. 1980)

มีทีมชาติเข้าแข่งรอบสุดท้าย เพิ่มเป็น 8 ประเทศ ส่วนการแข่งขันนัดชิงลำดับที่สามยกเลิกไปในครั้งที่ 7 เมื่อ พ.ศ. 2577 (ค.ศ. 1984) จากนั้นในครั้งที่ 10 เมื่อปี พ.ศ 2539 (ค.ศ. 1996) เพิ่มจำนวนเป็น 16 ประเทศ ในรอบสุดท้าย การแข่งขันครั้งล่าสุด เมื่อปี พ.ศ 2559 (ค.ศ. 2016) จัดการแข่งขันที่สาธารณรัฐฝรั่งเศส เป็นปีแรกที่คัดเลือก 24 ประเทศ หนังออนไลน์ล่าสุด

ประวัติฟุตบอลยูโร

วันนี้มาทำความรู้จัก ประวัติฟุตบอลยูโร มีที่ไปที่มาอย่างไร

ยุคแรกเริ่มมี 4 ทีม เริ่มมีการแข่งขันครั้งแรกขึ้นมาในปี 1960 ในชื่อว่า ฟุตบอลยูโรเปี้ยน เนชั่นส์ คัพ โดยเริ่มต้นรูปแบบการแข่งขันยังเป็นระบบการเล่นเหย้า-เยือนในรอบต้นๆ ก่อนที่จะเล่นแบบน็อกเอาต์ในรอบรองชนะเลิศ บุคคลที่ผลักดันให้มีการแข่งขัน

ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป ในชาติเป็นกลางขึ้นมาคือ อองรี เดอลาเน่ย์ จากสหพันธ์ฟุตบอลฝรั่งเศส และทำให้การแข่งขันรอบสุดท้ายครั้งแรก มีขึ้นที่เมืองน้ำหอม ในปี 1960 โดยเป็นการพบกันระหว่าง สหภาพโซเวียต กับ ยูโกสลาเวีย

ซึ่งผลลงเอยด้วยชัยชนะของทีมจากแดนหลังม่านเหล็ก ในช่วงต่อเวลาพิเศษ 2-1 ในปี 1964 ได้มีปัญหาขัดแย้งทางการเมือง เข้ามายุ่งเกี่ยวในเกมส์กีฬา เมื่อ กรีซ ปฏิเสธที่จะเล่นกับ แอลเบเนีย หลังมีสงครามระหว่างประเทศ โดยการเล่นรอบชิงชนะเลิศ จัดที่กรุงมาดริด ประเทศสเปน และแชมป์ก็ตกเป็นของเจ้าภาพที่เอาชนะ สหภาพโซเวียต 2-1 ทําเนียบแชมป์ยูโร

เพิ่มเป็น 8 ทีมจากนั้นในปี 1968 ได้เปลี่ยนชื่อการแข่งขัน จากฟุตบอลยูโรเปี้ยน เนชั่นส์ คัพ มาเป็น ยูฟ่า ยูโรเปี้ยน แชมเปี้ยนชิพ พร้อมกับเปลี่ยนแปลงรูปแบบการแข่งขันเป็นแบบแบ่งกลุ่มโดยมี 8 สาย และแชมป์ของแต่ละกลุ่ม จะเข้ามาเล่นในรอบก่อนรองชนะเลิศ

ที่ต้องแข่ง 2 นัด ก่อนเข้ารอบตัดเชือก โดยแชมป์ครั้งนี้เป็นของเจ้าภาพ อิตาลี ที่เอาชนะ ยูโกสลาเวีย 2-0 ในนัดรีเพลย์ หลังเกมแรกเสมอกัน 0-0 ฟุตบอลยูโร 1972 รอบสุดท้าย ที่ประเทศเบลเยียม ยังคงใช้รูปแบบการแข่งขันเหมือนที่ผ่านมา

โดยแชมป์ตกเป็นของ เยอรมัน ตะวันตก ที่ถล่ม สหภาพโซเวียต ไปอย่างขาดลอย 3-0 จากการทำประตูของ แกร์ด มุลเลอร์ คนเดียว 2 ลูก จากนั้นอีก 4 ปีต่อมา รอบชิงชนะเลิศมีขึ้นที่ยูโกสลาเวีย โดยที่ เชโกสโลวะเกีย เสมอ เยอรมัน 2-2

ก่อนที่จะมีการดวลจุดโทษครั้งแรก และแชมป์ก็ตกเป็นของ ขุนพลเช็กในที่สุดมาถึงศึกยูโร 1980 ได้เริ่มใช้ระบบการแข่งแบบใหม่ โดย 8 ทีมจะต้องมาเล่นรอบสุดท้าย ที่ประเทศอิตาลี และแบ่งการเล่นออกเป็น 2 กลุ่ม นำแชมป์ของแต่ละกลุ่มมาเล่นรอบชิงชนะเลิศ

ซึ่งปรากฏว่า เยอรมันตะวันตก คว้าแชมป์ไปครองหลังเฉือนชนะ เบลเยียม 2-1 จนกระทั่งในศึกยูโร 1984 ที่ฝรั่งเศส ได้มีการเปลี่ยนระบบการแข่งขันให้ 2 ทีมที่มีคะแนนดีที่สุดของทั้ง 2 กลุ่ม เข้ามาเล่นในรอบตัดเชือกและในที่สุดเจ้าบ้าน

ซึ่งนำทีมโดย มิเชล พลาตินี่ ก็ชนะ สเปน 2-0 ในรอบชิงชนะเลิศ พร้อมกับคว้าแชมป์ได้อย่างงดงาม จากนั้นในปี 1988 เยอรมันตะวันตก ได้มีโอกาสเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันบ้าง โดยใช้รูปแบบเหมือนครั้งที่ผ่านมา

อย่างไรก็ตามแฟนบอลเมืองเบียร์ต้องอกหัก ปล่อยให้ ฮอลแลนด์ ที่มีนักเตะชั้นเยี่ยมอย่าง มาร์โก แวน บาสเท่น, แฟร้งค์ ไรจ์การ์ด และ รุด กุลลิท คว้าแชมป์ไปครอง หลังเอาชนะ สหภาพโซเวียต 2-0 ในรอบชิงชนะเลิศ มาถึงปี 1992 ที่สวีเดน

ได้เกิดตำนานเทพนิยายเดนส์ขึ้นมา หลังจากทีมชาติเดนมาร์ก ได้เข้าร่วมการแข่งขันกะทันหัน เนื่องจาก ยูโกสลาเวีย ถูกตัดสิทธิ์ โดยขุนพลเมือง “โคนม” สร้างผลงานยอดเยี่ยมคว้าแชมป์ไปครองได้อย่างเหลือเชื่อทั้งที่มีเวลา เตรียมตัวไม่นานนัก

เพิ่มเป็น 16 ทีม ถึงศึกยูโร 1996 ที่อังกฤษ ได้มีการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการแข่งขันอีกครั้ง โดยมี 16 ทีมเข้ามาเล่นในรอบสุดท้าย ซึ่งแบ่งออกเป็น 4 กลุ่มๆ ละ 4 ทีม และ 2 อันดับแรกของแต่ละสายจะได้เข้ามาเล่นในรอบ 8 ทีมสุดท้าย แทงบอลยูโร

นอกจากนั้น ยังมีการนำกฎ โกลเด้นโกล์มาใช้ครั้งแรกอีกด้วย และกฎนี้ก็ได้ใช้ตัดสินในรอบชิงชนะเลิศทันที โดยที่ โอลิเวอร์ เบียร์โฮฟ หัวหอกเยอรมัน ซัดดับชีพ สาธารณรัฐเช็ก 2-1 จากนั้นในปี 2000 ก็เป็นครั้งแรกที่มีเจ้าภาพร่วมโดย เบลเยียม และ ฮอลแลนด์ รับหน้าเสื่อคู่กัน

จุดไคลแมกซ์ของการแข่งขัน ครั้งนี้อยู่ที่การทำประตูโกลเด้นโกล์ของ ดาวิด เทรเซเก้ต์ ที่พาฝรั่งเศส เอาชนะ อิตาลี พร้อมกับคว้าแชมป์ไปครองได้อย่างยอดเยี่ยม การชิงชัย 11 สมัยที่ผ่านมา ทำให้ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป กลายเป็นทัวร์นาเมนต์ที่แฟนบอลพูดกันว่าเพียงเติมบราซิล และอาร์เจนตินาลงไปในบรรดาทีมที่เข้ารอบสุดท้ายของศึกยูโรแต่ละครั้ง ก็จะพบกับฟุตบอลโลกอีกเวอร์ชันดีๆนี่เอง

เพิ่มเป็น 24 ทีม และในครั้งที่ 15 ซึ่งจะจัดขึ้นปี พ.ศ. 2559 (ค.ศ. 2016) ทีมชาติในรอบสุดท้ายจะเพิ่มขึ้นเป็น 24 ทีมชาติ จัดการแข่งขันที่สาธารณรัฐโปแลนด์และประเทศยูเครน การแข่งขันฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่มีทีมลงแข่งขันในรอบสุดท้าย 24 ทีม

เปลี่ยนจากการแข่งขันเดิมที่มี 16 ทีม ซึ่งเริ่มใช้ครั้งแรกเมื่อ 1996 ภายใต้การจัดการแข่งขันแบบใหม่นั้น จะแบ่งเป็น 6 กลุ่ม กลุ่มละ 4 ทีม รอบแพ้คัดออกจะมี 3 รอบ และนัดชิงชนะเลิศ โดย 24 ทีมแบ่งเป็น 19 ทีม (แชมป์กลุ่มและรองแชมป์กลุ่มของรอบคัดเลือก 9 กลุ่ม รวมไปถึงทีมอันดับที่ 3 ทีมีคะแนนดีที่สุด)

ถ้วยรางวัลของ ฟุตบอลยูโร มาทำความรู้จักในวันนี้

ถ้วยรางวัล “เดอะ อองรี เดอโลเนย์ โทรฟี่” ถ้วยของทีมชนะเลิศ ตั้งชื่อตาม เฮนรี เดอโลเนย์ เลขาธิการทั่วไปคนแรกของยูฟ่า ซึ่งเป็นคนแรกที่ริเริ่มแนวคิดจัดการแข่งขันฟุตบอลในทวีปยุโรป แต่เสียชีวิต 5 ปีก่อนที่การแข่งขันจะเริ่มขึ้นเป็นครั้งแรก

ปิแอร์ ลูกชายของเขาเป็นคนดูแล การออกแบบถ้วยรางวัล โดยนับแต่หนแรกถ้วยจะถูกส่งให้ ทีมได้แชมป์ไปครอบครองนาน 4 ปี จนปี 2008 ได้มีการออกแบบถ้วยรางวัลใหม่ ทำจากเงินแท้บริสุทธิ์ มีน้ำหนัก 8 กิโลกรัม สูง 60 เซนติเมตร ขนาดโดยรวมสูงกว่า 7 นิ้ว

และหนักกว่าเดิมราวครึ่งกิโลกรัม การสลักชื่อทีมแชมป์ก็ย้ายจากฐาน ไปอยู่บริเวณหลังถ้วย นักเตะและโค้ชของทีมแชมป์และรองแชมป์ จะได้รับเหรียญทองและเหรียญเงินตามลำดับ ขณะที่การชิงอันดับ 3 แม้ไม่มีแต่ในปี 2012 ยูฟ่า มอบรางวัลให้ทีมผู้แพ้ในรอบรองชนะเลิศ (เยอรมนี และ โปรตุเกส) เป็นเหรียญทองแดงเป็นครั้งแรก

รูปแบบการแข่งขันในฟุตบอลยูโรจากอดีตสู่ปัจจุบัน

รูปแบบการแข่งขัน ก่อนปี 1980 มีแค่ 4 ทีมในรอบสุดท้าย หลังจากนั้นเพิ่มเป็น 8 ทีม และปี 1996 เพิ่มเป็น 16 ทีม ตั้งแต่นั้นชาติยักษ์ใหญ่จึงมีงานง่ายกว่าเดิมที่จะผ่านเข้ารอบสุดท้ายฟุตบอลยูโร มากกว่าเข้ารอบสุดท้ายฟุตบอลโลก

เนื่องจากเดิมทีฟุตบอลโลก 1982, 1986, 1990 จากทั้งหมด 24 ทีม จะมีตัวแทนจากยุโรป 14 ชาติ แต่ในทางตรงกันข้ามศึกยูโร รอบสุดท้าย มีแค่ 8 ทีมเท่านั้น จนกระทั่งปี 1992 ตั้งแต่ปี 2007 มีการชงเรื่องเพื่อขยายทีมรอบสุดท้ายเป็น 24 ทีม

เริ่มจาก สกอตแลนด์ และ ไอร์แลนด์ ให้เหตุผลว่าจำนวนชาติสมาชิกของทวีปเพิ่มมากขึ้น หลังการแตกประเทศของ เช็กโกสโลวะเกีย, ยูโกสลาเวีย และ สหภาพโซเวียต รวมถึง อิสราเอล และ คาซัคสถาน ที่เข้ามาเป็นสมาชิก จนมีการประชุมและลงคะแนนโหวตเพิ่มทีมรอบสุดท้ายในที่สุด

ทำเนียบแชมป์ใน ประวัติฟุตบอลยูโร มีทีมใดบ้างมาดูกัน

ตลอด 15 ครั้งที่ผ่านมาแชมป์บอลยูโรล้วน เป็นที่ยอมรับของกองเชียร์รวมทั้งเซียนแทงบอลออนไลน์ด้วย และก่อนที่ศึกลูกหนังอันทรงเกียรติและเต็มไปด้วยศักดิ์ศรี ของนักฟุตบอลทีมชาติยุโรปนามว่า ยูโร 2021 จะระเบิดขึ้นย้อนอดีตไปพบกับแชมป์บอลยูโร แต่ละปีก่อนว่ามีทีมไหนบ้าง และชาติใดคว้าแชมป์มาครองมากที่สุด

บอลยูโร 1960 แชมป์บอลยูโร 1960 ศึกชิงความเป็นเลิศของทีมฟุตบอลยุโรปครั้งแรกนี้ จัดขึ้นที่ประเทศฝรั่งเศส และชาติที่ได้ครอบครองถ้วยชนะเลิศ คือ สหภาพโซเวียต รองแชมป์บอลยูโร 1960 เป็นของ ยูโกสลาเวีย ส่วนเจ้าบ้านได้ที่ 4

บอลยูโร 1964 แชมป์บอลยูโร 1964 คือ สเปน ซึ่งเป็นเจ้าภาพในการจัดการแข่งขันครั้งนี้ด้วย ส่วนรอง แชมป์บอลยูโร 1964 คือ แชมป์เมื่อปีที่แล้ว สหภาพโซเวียต

บอลยูโร 1968 แชมป์บอลยูโร 1968 ตกเป็นของเจ้าภาพอีกเช่นเคย นั่นคือ ประเทศอิตาลี ส่วนรองแชมป์บอลยูโร 1964 ตกเป็นของยูโกสลาเวีย

บอลยูโร 1972 แชมป์บอลยูโร 1972 เป็นของเยอรมนีตะวันตก (ตอนนั้นเยอรมนียังไม่รวมชาติ) ส่วนรองแชมป์บอลยูโร 1964 เป็นของสหภาพโซเวียต อดีตแชมป์ปี 1964 ส่วนเบลเยี่ยมเจ้าภาพ ได้ที่ 3

บอลยูโร 1976 แชมป์บอลยูโร 1976 คือ เชโกสโลวาเกีย โดยเฉือนเอาชนะ เยอรมนีตะวันตก ด้วยลูกโทษ 5-3 หลังเสมอกันสุดมันส์ 2-2 ส่วนเจ้าภาพ ยูโกสลาเวีย คว้าที่ 4 ไปครอง

บอลยูโร 1980 แชมป์บอลยูโร 1980 เป็นของเยอรมนีตะวันตก หลังจากอกหักเมื่อครั้งที่แล้วก็กลับมาคว้าแชมป์ยูโรได้อีกหน ส่วนรองแชมป์บอลยูโร คือ เบลเยียม ทางเจ้าภาพอิตาลี ได้ที่ 4

บอลยูโร 1984 แชมป์บอลยูโร 1984 เป็นของเจ้าภาพ ฝรั่งเศส เป็นการวนกลับมาเป็นเจ้าภาพอีกครั้งที่นับว่าประสบความสำเร็จอย่างยิ่ง ส่วนรองแชมป์บอลยูโร 1984  เป็นของสเปน ซึ่งแพ้ฝรั่งเศสไปถึง 0-2

บอลยูโร 1988 แชมป์บอลยูโร 1988 เป็นของเนเธอร์แลนด์ หลังจากที่มองดูชาติอื่นคว้าแชมป์ตากริบๆ โดยเอาชนะสหภาพโซเวียต ไป 2-0 ส่วนเจ้าภาพเยอรมนีตะวันตก มีโอกาสแค่เข้ารองชนะเลิศ ซึ่งนับตั้งแต่ปี 1984 ศึกชิงแชมป์บอลยูโร ก็ไม่มีชิงที่ 3 และ 4 อีก

บอลยูโร 1992 แชมป์บอลยูโร 1992 เป็นของประเทศเดนมาร์ก ส่วนรองแชมป์บอลยูโร 1992 เป็นของเยอรมนี (ตอนนี้รวมชาติแล้ว) ทางเนเจ้าภาพสวีเดน ได้เข้ารอบรองชนะเลิศ

บอลยูโร 1996 แชมป์บอลยูโร 1996 เป็นการกลับมาทวงบัลลังค์อย่างยิ่งใหญ่ของ เยอรมนี ส่วนรองแชมป์บอลยูโร 1996 เป็นของ เช็กเกีย ซึ่งแพ้ด้วยกฏโกลเด้นโกลไป 2-1 ทางด้านเจ้าภาพอังกฤษ ได้เข้ารอบรองชนะเลิศ

บอลยูโร 2000 เป็นครั้งแรกที่บอลยูโรมีเจ้าภาพร่วม คือ เบลเยียม และ เนเธอร์แลนด์ ส่วนแชมป์บอลยูโร 2000 คือ ฝรั่งเศส รองแชมป์บอลยูโร 2000 คือ อิตาลี เจ้าภาพได้เข้ารอบรองชนะเลิศแค่ประเทศเดียว คือ เนเธอร์แลนด์

บอลยูโร 2004 แชมป์บอลยูโร 2004 คือ กรีซ ส่วนโปรตุเกสที่เป็นเจ้าภาพ ครองตำแหน่งรองแชมป์บอลยูโร 2004 ไป ศึกชิงชนะเลิศหนนี้แม้สกอร์จะ 1-0 แต่ก็สนุกไม่น้อย

บอลยูโร 2008 กลับมาใช้เจ้าภาพร่วมอีกครั้ง คือ ออสเตรีย และ สวิตเซอร์แลนด์ แชมป์บอลยูโร 2008 เป็นของสเปน ด้วยการผลักให้เยอรมนี เป็นรองแชมป์บอลยูโร 2008 กับสกอร์ 1-0 ส่วนเจ้าภาพปีนี้ ไม่เข้ารอบรองชนะเงิศแม้แต่ทีมเดียว

บอลยูโร 2012 แชมป์บอลยูโร 2012 คือแชมป์เมื่อครั้งที่แล้วประเทศ สเปน ครั้งนี้ก็ใช้เจ้าภาพร่วม คือ โปแลนด์ และ ยูเครน รองแชมป์แชมป์บอลยูโร 2012 เป็นของ อิตาลี ส่วนเจ้าภาพ ไม่ติดฝุ่น

บอลยูโร 2016 บอลยูโร 2016 เป็นครั้งล่าสุด ซึ่งแชมป์บอลยูโรล่าสุด เป็นของ โปรตุเกส โดยเจ้าภาพฝรั่งเศส ได้รองแชมป์บอลยูโรล่าสุด

ตาราง-12-05-64-v